

พูดถึงการลงทุนในตลาดหุ้น ไม่พ้นอดไม่พูดถึงนักเก็งกำไรไม่ได้เพราะเป็นของคู่กันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว บ้างก็ร่ำรวยเพราะเป็นนักเก็งกำไรที่เก่งและเชียวชาญจนหาตัวจับยาก แต่บ้างก็ต้องออกจากตลาดหุ้นไปโดยเข็ดขยาดกับตลาดหุ้นนี้ไปอีกนานจนต้องหันเหชีวิตตัวเองไปทำอาชีพอื่นเลยก็มี
นักเก็งกำไรจะมีลักษณะเฉพาะตัว เช่น เล่นหุ้นเป็นรอบ ๆ เล่นแบบสั้น ๆ เพราะมาเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นกันจริง ๆ แล้วหุ้นที่เลือกเล่นก็จะเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงและนำตลาด หรือ หุ้น Lead โดยสังเกตว่า Volume จะเพิ่มมากขึ้น และเป็นหุ้น Most Active ของวัน ในขณะที่หุ้นชุด Follow Buy จะเลือกเข้าเก็งกำไรหลังจากไล่หุ้น Lead ขึ้นไปแล้ว การดู “ต้นทุน” ของฝ่ายตรงข้ามก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่นักเก็งกำไรทำกันด้วยก็คือเค้าจะดูกราฟหุ้นกันเป็นรายนาที หรือ 10 นาทีกันเลย เพราะส่วนนั้นจะมีราคา และ Vloume บอกอยู่หรือไม่ Marketing ก็จะมีข้อมูลในส่วนนี้บอกนักเก็งกำไรได้ด้วย สิ่งที่ต้องรู้ก็คือราคาเฉลี่ยช่วงเช้า ช่วงบ่าย ราคาต่ำสุด และราคาสูงสุดในแต่ละวัน ไม่เพียงเท่านั้นเค้าจะต้องดูย้อนหลังกลับไปอีก 2-3 วันเพราะระหว่างนั้นอาจมีช่วงการแกว่งตัวของราคาด้วย
จุดที่เหมาะสมของการเก็งกำไรมาก ๆ ก็คือจุด Sideway หุ้นส่วนใหญ่จะอยู่ในกรอบของ “แนวต้าน” กับ “แนวรับ” ข้อมูลส่วนโบรกเกอร์สามารถช่วยได้ครับ เพราะเค้าจะมีอยู่ในมืออยู่แล้ว มาถึงในส่วนของกรอบ Band Swing ที่เราต้องเข้าไปดูกันบ้าง ซึ่งการเข้าซื้อจะเข้าเพียง 30% ของเงินลงทุนที่เตรียมไว้และเลือกซื้อหุ้น Lead ไว้ 2 ตัว ในราคาที่ใกล้ ๆ กับจุดต่ำสุดที่นักเก็งกำไรได้วางแผนมาแล้ว ในกรอบ Band Swing ให้สังเกตว่าเริ่มมีนักลงทุนเข้ามาซื้อ นั่นหมายความว่า “ปลาเริ่มกินเหยื่อ” สิ่งที่คาดการณ์ไว้กำลังใกล้เป็นจริง และเราจะใช้วิธีการ “ตั้งรับ” มากกว่าที่ใช้วิธีไล่ จับสังเกตสถานการณ์ดี ๆ นะครับ เพราะมันใกล้จะได้จังหวะที่เราจะเทขายทำกำไรกันแล้วละครับ
จะเป็นนักเก็งกำไรกันทั้งที “อย่าโลภ” นะครับ พอมองเห็นกำไรก็เทขายซะ เพื่อที่จะได้ลดความเสี่ยงลงไปบ้าง ทุกครั้งที่โอกาสมาถึงเราต้องคว้าไว้ครับ อย่าไปสนใจว่าหุ้นจะขึ้นไปอีกเท่าไร คำนวณแล้วหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ออกไปเห็นกำไรพอหอมปากหอมคอก็เป็นอันใช้ได้ครับ เพราะเราจะเข้าไปเก็งกำไรกันใหม่เมื่อไหร่ก็ได้
อย่าลืมเก็บสถิติไว้ด้วยนะครับว่าคุณ “ได้” มากกว่า “เสีย” หรือไม่ เพราะมันจะเป็นตัวบอกได้ว่าคุณเป็นนักเก็งกำไร “ที่แน่” หรือ “ที่แย่” นั่นเองครับ